ประโยชน์ของแคลเซียม มีอะไรบ้าง
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์และสำคัญต่อร่างกาย ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง พบได้มากในผลิตภัณฑ์จาก นม โยเกิร์ต และชีส และในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียม ในปัจจุบันพบว่าแคลเซียมมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกระดูกและฟันในผู้สูงอายุ
แคลเซียมช่วยในเรื่องอะไรบ้าง
แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูกตั้งแต่วัยเด็ก แคลเซียมมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และหลังจากที่คนเราหยุดการเจริญเติบโต แคลเซียมจะยังช่วยเสริมสร้างกระดูกและชะลอการสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูกในกลุ่มผู้สูงอายุ
ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ
อีกหนึ่งคุณประโยชน์ที่สำคัญของแคลเซียม มีส่วนช่วยควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อร่วมกับแมกนีเซียม โดยอัตราส่วนในการใช้แคลเซียมและแมกนีเซียมของร่างกายเท่ากับ 2:1
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ชนิดของแคลเซียม
- แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต (Calcium L-Theonate)
แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต หรือ แคลเซียมข้าวโพด เป็นแคลเซียมที่ผลิตมาจากวิตามินซีในแป้งข้าวโพด สามารถละลายน้ำและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่า 95% โดยไม่ต้องใช้วิตามินดีช่วยในการดูดซึม และไม่ทำให้ท้องอืด ท้องผูก หรือถ่ายแข็ง สามารถทานตอนท้องว่าง หรือ หลังอาหารก็ได้ - แคลเซียม อะมิโน แอซิด คีเลต (Calcium Amino Acid Chelate)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แคลเซียมโปรตีน เป็นแคลเซียมที่ร่างกายดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เกือบ 100% สามารถทานตอนท้องว่าง หรือ หลังอาหารก็ได้ - แคลเซียม คาร์บอเนต (Calcium Carbonate)
แคลเซียม คาร์บอเนต ผลิตมาจากหินปูนและกระดูกสัตว์ จะละลายในกระเพาะอาหารได้เพียง 15% เท่านั้น ดังนั้นจึงต้องรับประทานหลังอาหาร ต้องใช้วิตามิน ดี ช่วยในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องผูก และถ่ายแข็ง - แคลเซียม ซิเตรท (Calcium Citrate)
เป็นแคลเซียมที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ประมาณ 50% โดยต้องรับประทานหลังอาหาร เนื่องจากเป็นแคลเซียมที่ทำงานได้ต่อเมื่อมีกรดในกระเพาะอาหารเท่านั้น
ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละช่วงวัย
วัยเด็ก
- ช่วงแรกเกิด – 1 ปี ควรได้รับแคลเซียมวันละ 200-400 มิลลิกรัม
- ช่วงอายุ 1 ถึง 3 ปี ควรได้รับแคลเซียมวันละ 400-800 มิลลิกรัม
- ช่วงอายุ 4 ถึง 8 ปี ควรได้รับแคลเซียมวันละ 800-1,000 มิลลิกรัม
วัยรุ่น
วัยผู้ใหญ่
วัยสูงอายุ
การเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
นมและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนม
ถั่วและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่ว
ปลาและสัตว์เล็ก
ผักใบเขียวและผลไม้
หากได้รับแคลเซียมน้อยหรือมากเกินไปจะเป็นอย่างไร?
ผลเสียจากการได้รับแคลเซียมน้อยเกินไป
การได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการ และการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ไม่ดี ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน และภาวะกระดูกบางมากขึ้น จะทำให้กระดูกหักได้ง่าย ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ในคุณผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งสามารถดูแลได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง หรือทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ
ผลเสียจากการได้รับแคลเซียมมากเกินไป
การได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดนิ่วในไต หลอดเลือดตีบตัน เพราะการบริโภคแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไปจนเกิดการสะสมกลายเป็นหินปูน แต่ในความเป็นจริงคนเรามีโอกาสที่แคลเซียมจะมากเกินไปนั้นมีน้อยมากๆ
เราควรสนใจในการเลือกทานแคลเซียมเสริมอาหาร โดยควรเลือกทานแคลเซียมเสริมให้ถูกชนิด เช่น แคลเซียม แอล-ทรีโอเนต หรือ แคลเซียมข้าวโพด ที่ผลิตมาจากวิตามินซีในแป้งข้าวโพด เพราะสามารถละลายน้ำและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ไม่ทำให้ท้องอืด ท้องผูก หรือถ่ายแข็ง
การรับประทานแคลเซียมแต่ละชนิด
บทสรุป
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกและฟัน ซึ่งมีความสำคัญตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนไปถึงช่วงสูงวัยเลยทีเดียว จึงเป็นเหตุผลให้ทุกคนควรบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอในแต่ละวัน ถ้าหากไม่มั่นใจว่าจะได้แคลเซียมครบหรือไม่ การบริโภคอาหารเสริมแคลเซียมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ