ปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดเข้า การเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
- อายุ มักพบในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสเกิดข้อเข่าเสื่อมมากขึ้นเนื่องจาก ข้อต่างๆผ่านการใช้งานมานาน ส่งผลให้กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพมีความแข็งแรงน้อยลง
- เพศหญิง มีโอกาสปวดเข่าหรือเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้มากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า เนื่องจากกระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงน้อยกว่าผู้ชาย
- ความอ้วน คนที่มีน้ำหนักตัวมาก ทำให้ข้อเข่าต้องรองรับน้ำหนักตัวมากๆไว้ตลอดเป็นเวลานานๆ ข้อเข่าก็เสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น
- การใช้งานข้อเข่าบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งคุกเข่า นั่งยองๆ หรือการนั่งพับเพียบ
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอในแต่ละวัน ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกจะเสื่อมเร็วขึ้น การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมเพื่อแก้ปวดเข่าจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับชะลอโรคกระดูกเสื่อม กระดูกพรุน สาเหตุหลักของอาการปวดข้อเข่า
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
- อาการปวดเข่า เข่าบวม เป็นอาการเริ่มต้นที่สำคัญ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยตึงเข่าด้านหน้า,ด้านหลัง และปวดตึงบริเวณน่องร่วมด้วย ในกรณีที่มีอาการมากขึ้นก็จะเดินไม่ตรง เดินขึ้น ลงบันไดลำบาก
- ข้อเข่าโก่งงอ ลักษณะของข้อเข่าจะโก่งได้ทั้งด้านนอกและด้านในเข่า เดินลำบากจะล้ม
- ข้อเข่ายึดติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถเหยียดขา และงอเข่าเข้า ได้เช่นเดิม เนื่องจากมีการยึดติดกันของกระดูกอ่อนอยู่ภายในข้อต่างๆ
- มีเสียงภายในข้อ เมื่อผู้ป่วยเดินหรือขยับขา ก็จะมีเสียงเกิดขึ้นภายในข้อ
การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม
- ในคนอ้วน หรือน้ำหนักเกิน ให้ลดน้ำหนักตัวลงก่อนที่เข่าจะเสื่อม โดยปฎิบัติดังนี้
- การรับประทานอาหาร ให้รับประทานแบบหนักเช้า เบาเที่ยง เลี่ยงเย็น เว้นดึก กล่าวคือ มื้อเช้าทานได้ตามปกติ มื้อกลางวันทานให้น้อยลง มื้อเย็นเลี่ยงในการทานแป้งและน้ำตาลเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ขนมหวาน ผลไม้ งดทานมื้อดึก
- การออกกำลังกายโดยการยืนแกว่งแขนหลังอาหารมื้อเย็นวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการใช้งานข้อเข่าในขณะออกกำลังกาย
- ลดการใช้งานในการรับน้ำหนักของข้อเข่า โดยหลีกเลี่ยงการนั่งกับพื้น นั่งท่าคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งพับเพียบ การใช้ส้วมที่นั่งยองๆ ควรนั่งบนเก้าอี้ เพื่อหย่อนขา และไม่ควรงอขาเกิน 90 องศา ควรใช้ส้วมชักโครกเวลาเข้าห้องน้ำ ลดการวิ่ง การกระโดด ห้ามเดินไกล หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดบ่อยๆและหลีกเลี่ยงการยกของหนักเกิน 5 กิโลกรัมขึ้นไป
แนวทางรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
เนื่องจากโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคในผู้สูงอายุ ซึ่งหากเป็นแล้วย่อมไม่สามารถรักษาให้หายเหมือนเดิมได้ จุดประสงค์ของการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมนั้น ทานยาตามอาการ เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและแก้อาการปวดเข่าจากโรคข้อเข่าเสื่อมได้โดยทานอาหารเสริมที่มีแคลเซียมให้เพียงพอต่อวัน สำหรับผู้สุงอายุ (51 ปีขึ้นไป) ควรได้รับแคลเซียมในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้ที่อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี ควรได้รับแคลเซียมในปริมาณ 800มิลลิกรัมต่อวัน
หากไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมได้มากพอ ก็ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียม แคลที แทนเพื่อป้องกันและแก้อาการปวดเข่า และโรคข้อเข่าเสื่อม
ปวดเข่า ดังก๊อบแก๊บเรื้อรังแก้อย่างไร
อาการปวดเข่าเรื้อรังส่วนมากเกิดในผู้สูงอายุ ,ผู้ที่น้ำหนักตัวมาก หรือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ เป็นต้น ซึ่งอาการปวดเข่าก็จะมีหลากหลายรูปแบบ หลายคนคงสงสัยอาการปวดเข่าที่มีเสียงดังเสียดสีกันนั้นอันตรายหรือไม่ ควรดูแลตัวเองและป้องกันอาการปวดข้อเข่าอย่างไร
การดูแลอาการ ปวดเข่า เบื้องต้น
อาการปวดเข่าที่เกิดจาการเสียดสีหรือการขัดในเอ็นข้อเข่า ซึ่งอาการปวดเข่าลักษณะนี้ไม่มีอันตรายใด ๆ สามารถดูแลตัวเองเบื้องต้น ได้ดังนี้
- การลดน้ำหนัก หรือออกกำลังกายเบา ๆ
- รับประทานแคลเซียม แอล-ทรี โอเนต ให้เพียงพอ เพราะแคลเซียม แอล-ทรี โอเนต นั้นเป็นแคลเซียมข้าวโพด ที่สามารถละลายน้ำได้เกือบ 100% แคลเซียมจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและข้อ นอกจากนี้แคลเซียมแอล-ทรีโอเนต ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในกระดูก และยับยั้งการสลายตัวของกระดูกอันก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนอีกด้วย
- ปริมาณแคลเซียมสุทธิ ที่ควรรับประทานต่อวัน คือ แคลเซียมสุทธิวันละ 800-1200 มก
- ควรรับประทานควบคู่กับ คอลลาเจน ไทป์ 2 (UC-Π)ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่เป็นส่วนสำคัญในการบำรุง และซ่อมแซมข้อต่างๆ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก และหมอนรองกระดูกสันหลัง ฯลฯ อีกทั้งยังเสริมสร้างกระดูกอ่อนในข้อเข่า ลดการทำลายกระดูกอ่อนในข้อเข่า
หากรับประทานแคลเซียม แอล-ทรี โอเนต และคอลลาเจน ไทป์ 2 จนครบถ้วนแล้วอาการปวดเข่านั้นยังคงอยู่แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพราะอาการปวดเข่านั้นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคกระดูกพรุน เนื่องด้วยร่างกายขาดแคลเซียมนั้นเอง